ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ความจริงหนึ่งเดียว

๑ ส.ค. ๒๕๕๒

 

ความจริงหนึ่งเดียว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

การบอกว่าโดยธรรมชาติเราเนี่ย จิตของเรามีนิพพานอยู่แล้วทุกคน ตามที่เขาสอนน่ะ จิตของเรามีนิพพานกันอยู่แล้ว เราบอกไม่มี ตามธรรมชาติจิตนี้มีนิพพาน ไม่มี แต่นิพพานถ้ามีอยู่แล้วนะ เราต้องเป็นคนดีตลอดไป แล้วเราจะเข้าถึงที่หมายนั้นได้

โยม : เป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : ใช่ อันนี้เพียงแต่ว่า ความจริงหนึ่งเดียวมันมี เราบอกว่าทุกคน จิตทุกคนไม่มีนิพพานในจิตเลย

แต่จิตของคนมันมีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนาเพราะอะไร เพราะเกิดเป็นคน เห็นไหม สัตว์นี่มันไปทางขวาง สัตว์เนี่ยทำความดีได้นะ ท้าวโฆษกะ หมามันไปคาบจีวรพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันทุกวันน่ะ แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าต้องลาจากกัน เพราะออกพรรษาต้องไปน่ะ มันหอนนะ มันรักของมันน่ะ หอนจนมันขาดใจตาย มันไปเกิดเป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุด ท้าวโฆษกะเป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุด เสียงเพราะที่สุด

เราใช้ทับศัพท์ว่าโฆษก โฆษกน่ะ ไอ้พวกโฆษกไอ้พวกพิธีกร มาจากหมาหมดเลย

โยม : (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : อันนี้เพราะหมามันไปเกิดเป็นเทวดา นี่ไงเราบอกว่าจิตที่มันเกิด จิตที่มันเกิดมันเกิดของมันได้ ทีนี้เพราะพอมาเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม ขนาดสัตว์มันยังทำความดีของมันได้ ความดีของมัน ความดีของมัน ทำดีเป็นกุศล อกุศล เห็นไหม มันเป็นอามิส มันก็ไปเกิดตามกำลังของมัน แต่นิพพานน่ะ ความเข้าถึงความจริงหนึ่งเดียว สัตว์มันเข้าไม่ได้ สัตว์มันทำความดีได้ แต่สัตว์มันไม่มีสมองดีเท่ามนุษย์ สัตว์มันไม่มีโอกาสเหมือนมนุษย์

แต่เราเกิดเป็นมนุษย์เรามีโอกาสมากกว่า นี้พอโอกาสมากกว่ามันอยู่ที่เชาว์ปัญญาของเรา เรามีเด็กมีลูกมีหลานเห็นไหม เด็กลูกหลานบางคนเชาว์ปัญญาดีมากเลย มันฉลาดมากเลย บางคนมีจุดยืนมากเพื่อนจะชักนำไม่ได้ บางคนหลงใหลเพื่อน บางคนไปกับเขาเลย เป็นเพราะอะไร เนี่ยไงเบื้องหลังไง เนี่ยทุน ทุนอำนาจวาสนาของคน ฉะนั้นวาสนาของคน พอเราเกิดมาแล้วนี่ โดยธรรมชาติใช่ไหม พูดถึงทุกคนอยากมั่งมีศรีสุข ทุกคนอยากมีดีหมดอ่ะ มันดีของใครล่ะ พอดีของเขาด้วยความเห็นผิดของเรา

ถ้าเราหาผลประโยชน์ของเราได้มากเท่าไหร่ เราคิดว่าเรามีบุญ แต่ผลประโยชน์นั้นน่ะเป็นผลประโยชน์สาธารณะ คือเงินคือแก้วแหวนเงินทอง เป็นสมบัติกลางที่ใครมีปัญญาหามาได้ แต่ความดีความชั่วเรา มันเป็นของส่วนบุคคล ทีนี้พอเป็นของส่วนบุคคล ทีนี้เข้ามาเทียบตรงนี้ ตรงนี้เชาว์ปัญญาของคน แล้วคิดดูสิเขามาปฏิบัติกัน เขามาทำไมกัน

อย่างลูกศิษย์ที่มาเมื่อวานเขามา เราถามว่าโยมทำผิดอะไรมา เขาบอกไม่ได้ทำอะไรผิดจะมาปฏิบัติ เราก็นึกว่าทำผิดอะไรมาเพราะมาติดคุกไง

โยม : (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : ศาลตัดสินแล้วเหรอจะมาเข้าคุก เราถามโยมทำผิดอะไรมา ก็บอกว่าไม่ได้ผิดหรอก จะมาปฏิบัติ งั้นก็แล้วไป นึกว่าโยมทำผิดอะไรมาถึงจะมาติดคุก คนเขามองกันว่าทุกข์ลำบาก แต่คนที่มีความสมัครใจ คนที่เขารู้ว่าเขาลงทุนสิ่งใด แล้วเขาจะได้อะไรตอบแทนเห็นไหม นี้ไงความจริงหนึ่งเดียว

ความจริงหนึ่งเดียว จะเป็นนางวิสาขา จะเป็นอนาถบิณฑิกะเศรษฐี จะเป็นจิตตคฤหบดี จะเป็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เห็นไหม เวลาเข้าถึงธรรมอันเดียวกันนะ ต้องอันเดียวกันเห็นไหม

โยม : อันเดียวกัน..

หลวงพ่อ : แต่นี้โยมพูดเมื่อกี้ไง เราสะเทือนใจ บอกว่าครูบาอาจารย์ทำได้ เราเป็นคฤหัสถ์เราทำไม่ได้ ถ้าเราทำไม่ได้เห็นไหม เราเป็นคนหรือเปล่า พอเราคิดเราทำไม่ได้ปั๊บมันก็.. ความคิดของเรามันก็จะแบ่งเป็นสอง ใช่ไหม ความจริงอันหนึ่ง ความจริงของพระปฏิบัติของครูบาอาจารย์ แล้วความจริงของเราก็ควรจะมีความจริงที่ง่ายๆ ไง ความจริงที่เราจะเข้าได้ไง มันไม่มีน่ะ

ในศาสนานี้อริยสัจมีหนึ่งเดียว นี้พอหนี่งเดียว การสนทนาธรรม การฟังเสียง การฟังการโต้ตอบนี่ รู้หมดล่ะ เพราะว่าหลวงปู่มั่นจะบอกเลยว่า ต้องเป็นอย่างงี้ ต้องเป็นอย่างงี้ ต้องเป็นอย่างงี้ เราจะกินอาหารอะไรก็แล้วแต่ เข้าไปในร่างกายของเรา ความอิ่มหนำสำราญ เราจะรู้ของเรา ถ้าอาหารเข้าสู่ปาก ตกสู่กระเพาะ เราจะรู้ถึงความอิ่มหรือไม่อิ่มของเรา จะกินอาหารอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเข้าลงกระเพาะแล้วเราจะรู้ของเราว่า ในกระเพาะของเรามีอาหารหรือเปล่า เรามีความอิ่มหนำสำราญหรือเปล่า แล้วถ้าบอกว่ากินอาหาร ยัดเข้าไปทางหูบ้าง ยัดเข้าไปทางช่องจมูกบ้าง นั่นให้เขาพูดเขาไป เราไม่ฟัง เพราะการกินอาหารเข้าไปช่องอื่นไม่ได้ นอกจากปากอย่างเดียว เว้นในทางการแพทย์ ให้ทางสายเลือด ฉะนั้นการกินอาหารตามปกติจะต้องเข้าทางช่องปากที่เดียว

การเข้าสู่อริยสัจมันมีอยู่ช่องทางเดียว อริยสัจ ฉะนั้นพอบอกว่า มันจะยากจะง่าย มันอยู่ที่ว่าเราเองเนี่ย เราจะเข้าไหม เราจะเอาไหม เพราะว่าทรัพย์สมบัติของเรา คำว่าทรัพย์สมบัติสาธารณะเนี่ย มีคนหลงผิดเยอะนะ คนหลงผิดไม่ได้สองขั้น ไม่ได้อะไรนี้ คิดจะทำร้ายตัวเอง มาฟังเราบ่อยๆ เข้า เขาสารภาพเอง แล้วบางคนเวลาเสียใจมา เราจะบอกเลยนะ โยมเนี่ย โยมเหยียบย่ำตัวเองนะ ตำแหน่งหน้าที่การงาน อะไรก็แล้วแต่ที่มันจะได้มา ถ้าไม่มีโยมนี่ ตำแหน่งนี่เขาให้ใครล่ะ เราสำคัญกว่านะ ความเป็นมนุษย์ของเราสำคัญกว่าตำแหน่งทั้งหมดนะ เพราะมีเราแล้วตำแหน่งนั้นมาใช่ไหม ถ้าไม่มีเราตำแหน่งนี้เป็นของคนอื่นใช่ไหม ถึงเราได้ตำแหน่งนั้นมา เอ็งอยู่ในตำแหน่งนั้นตลอดไปไหม เดี๋ยวเอ็งก็ต้องย้าย เดี๋ยวเอ็งก็เกษียณ แล้วทำไมเอาชีวิตของเราทั้งหมดไปแลกกับของแค่นี้เองล่ะ

ถ้าเราเห็นว่าชีวิตเรามีคุณค่ามากกว่า โทษนะเราอยู่ตรงไหนก็ได้น่ะ เราอยู่ตรงไหนก็ได้อ่ะ เพราะเราพอใจเรามีความสุขอ่ะ แต่นี่เพราะเราไปบีบคั้นตัวเราเองไง เราไปยอมจำนนกับความอยากของเราไง เราต้องได้เป็นอย่างนั้น พอไม่ได้เราก็เสียใจ พอเสียใจแล้วนะ กลับจะมาทำร้ายตัวเองอีก มันไม่รู้โง่กี่ชั้นนะ แต่ถ้ามันฉลาดขึ้นมาเห็นไหม เราอยู่ตรงไหนก็ได้ ไอ้ผลประโยชน์ได้มากได้น้อยมันธรรมดา ตำแหน่งสูงกว่าก็ได้มากกว่า แต่มากน้อยมันอยู่ที่เราใช้จ่ายนะ ถ้าเรามีพอสมควร เราใช้จ่ายของเรานะ เรารวยกว่าเขาอีกนะ เขาได้มากกว่าเรานะ เขาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกว่าเรานะ เขาทุกข์กว่าเราเยอะเลย

แล้วถ้าคิดตรงนี้ได้ปั๊บ เนี่ย กลับมาย้อนตรงนี้ เรามาย้อนกลับมาคำที่ว่า เนี่ย เราจะมีโอกาสเหรอ โอกาสมีทุกคน เพียงแต่ว่าเรามองข้ามโอกาส แล้วเราทำลายโอกาสเราเอง

โยม : เพราะอะไรเจ้าคะ

หลวงพ่อ : เพราะวุฒิภาวะ เพราะวุฒิภาวะของความคิดไง วุฒิภาวะเนี่ย ฐานของจิตไง ของโยมเนี่ย ยังไม่มีเวลา ยังหนุ่มยังสาวอยู่

โอ๊ะ (หัวเราะ) แล้วทำไมคนเขาถามเราบ่อยนะ สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร การเป็นพระอรหันต์ ลูกศิษย์พระสารีบุตรน่ะอายุ ๗ ขวบ ไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตร เป็นลูกศิษย์ ถือบาตรไป เห็นเขาชักน้ำเข้านา ถามอาจารย์ว่าน้ำนี้มีชีวิตไหม พระสารีบุตรบอกน้ำไม่มีชีวิตหรอก เด็กคิดได้นะ น้ำไม่มีชีวิต เขายังใช้ประโยชน์ได้เลย แล้วเรามีชีวิตเรามีความรู้สึกอ่ะ คำว่ามีชีวิตความรู้สึก มันต้องมีคุณค่ามากกว่าน้ำนะ เดินไปอีก เดินไปอีก เห็นเขาดัดคันศร คันศรเขาดัดให้ตรงเพื่อใช้ยิงธนูของเขาน่ะ ถามอาจารย์ว่าคันศรมีชีวิตไหม บอกไม่มี คันศรไม่มีชีวิตเขายังดัดให้ตรงนะ แล้วเขาใช้ประโยชน์เขาได้นะ พอมีความคิดมันกระะเทือนใจมาก ส่งบาตรให้อาจารย์เลย บอกอาจารย์ออกไปบิณฑบาตเถอะ เกล้ากระผมขอกลับกุฏิ ปัญญามันหมุน ปัญญามันเริ่มเดินตัว จะกลับไป สามเณรอายุ ๗ ขวบมีปัญญาได้อย่างเนี้ย เห็นเขาทำอาชีพข้างนอกอ่ะ มันเลยย้อนกลับมาในหัวใจ แล้วไม่ไปบิณฑบาตนะ คืออดอาหารเลยกลับไปภาวนา พระสารีบุตรไปบิณฑบาตกลับมา ฉันเสร็จแล้ว อาหารเนี่ย คิดถึงเณรของตัว จะเอามาให้เณร

พระพุทธเจ้าเล็งญาณ อนาคตังสญาณเห็นว่า สามเณรจะเป็นพระอรหันต์ ใช้ปัญญาอยู่ ปัญญามันหมุนล่ะ ปัญญา ปัญญาจากจิต ไม่ใช่ปัญญาสมองนะ ปัญญาจากจิตมันหมุนล่ะ ก็เลยมาดักพระสารีบุตร ถามธรรมะพระสารีบุตร ให้พระสารีบุตรตอบธรรมะ พอตอบธรรมะก็ต้องคุยกับพระพุทธเจ้า เกรงใจก็ไม่กล้าไป เณรมันก็หมุนปัญญาของมันไป ถ้าปล่อยมาเณรจะไม่ได้เป็นพระอรหันต์ไง ถ้าเอาอาหารมา เพราะอาจารย์ใช่ไหมก็ต้องเข้าไปเรียก เพราะคนนั่งสมาธิอยู่ก็ต้องออกจากสมาธิใช่ไหม ก็ต้องกันไว้ก่อน ดังนั้นปัญญาก็หมุนไป หมุนไป พอหมุนไป นี่ก็กันไว้ กันจนพระพุทธเจ้าคุยกับพระสารีบุตร แต่เนี่ยอนาคตังสญาณ มองเณรอยู่ พอเณรหมุนถึงวงรอบของมัน มรรคสามัคคีรวมตัวกัน สมุจเฉท กลายเป็นพระอรหันต์ตูม เลิก เลิกพระสารีบุตรเลย ปล่อยพระสารีบุตรเข้าไป พระสารีบุตรเข้าไป เอาอาหารไปให้สามเณร พอสามเณรฉันเสร็จ พระอาทิตย์ตกไปบ่ายสองโมงแล้ว พระพุทธเจ้าเนี่ยดูเณรด้วย ดึงพระอาทิตย์ไว้ด้วย เวลามันจะหมุนไปไง

เราจะบอกว่าเณร ๗ ขวบน่ะเขามีปัญญา พระอรหันต์ หรือพระอริยบุคคล มันจะเกิดขึ้นมาได้ด้วยปัญญาญาณ ปัญญาญาณ ไม่ใช่ปัญญาสมองที่เราคิดอยู่นี่นะ ปัญญาที่เราคิดอยู่เนี่ย เขาเรียกวิชาชีพ ปัญญาโดยสามัญสำนึก เราถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา ทำสมาธิให้ได้ก่อน แต่เขาบอกไม่ต้องทำสมาธิ ใช้ปัญญาไปเลย ปัญญาอย่างนี้ก็เหมือนปัญญาโจรน่ะ โจรมันคิดปล้นเห็นไหม มันปล้นมันก็ได้ตังค์นะ แต่ของเรานี่ไม่ใช่ปัญญาโจรนะ โจรตรงไหน โจรที่ใจมันไปปล้นธรรมะของพระพุทธเจ้าไง มันไปกล่าวตู่ มันไปตีความ มันไปก๊อปปี้ เห็นไหม ดูสิ สิทธิทางปัญญาน่ะ มันก๊อปปี้เขามา

นี่มันต้องใช้ปัญญา ปัญญามันต้องเกิดจากเรา แล้วเกิดจากเรามันเกิดอย่างไร ถ้าไม่มีสมาธิ ไม่มีฐานที่ตั้ง เราจะทำครัว เรามีครัวหรือยัง เราจะทำครัวเราต้องมีครัว ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือ ทำอาหารขึ้นมาได้ใช่ไหม เราจะชำระกิเลส กิเลสอยู่ที่ไหน เนี่ยพวกโยม โยมว่าเป็นโยม เราถามหน่อยสิว่า ตัวโยมอยู่ไหนลองชี้มาสิ ตัวโยมไม่มี ชี้ว่าหัวใจเป็นเรานะ ไปโรงพยาบาลเขาเปลี่ยนหัวใจ ตับไตไส้ปอด เขาเปลี่ยนหมดเลยนะเขาตัดทิ้งหมดน่ะ เอ้าแขนขาที่เป็นโรคร้าย เขาตัดทิ้งหมดเลย

โยม : อยู่ที่จิตใช่ไหมคะ ที่พูดอย่างนี้มันอยู่ที่จิต

หลวงพ่อ : จิตก็ยังไม่ใช่ จิตว่าเป็นความคิด ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดเนี่ยเปลือกส้ม เวลาเราไปซื้อส้ม เราเอาส้มมาเรากินเปลือกไหม ทำไมเราปลอกเปลือกทิ้งล่ะ ความคิดเป็นเราไหม ความคิดไม่ใช่เรา ความคิดเป็นเปลือกส้ม มันห่อหุ้มจิตอยู่ เพราะห่อหุ้มจิตอยู่ พอเขาไปดูจิตกัน เพราะเขาไปดูที่ความคิดไง แล้วความคิดเกิดดับ เวลาเขาซื้อส้มมา เขาแกะส้มกินเปลือกนะ ไอ้พวกนี้โง่ฉิบหายเลย กูกินเนื้อ เพราะเขาไปดูความคิดเกิดดับ เขาไปดูที่เปลือก เขาไปดูที่ความคิดไง ไม่ใช่จิต

โยม : แยกไม่ได้เจ้าคะ

หลวงพ่อ : ไม่เป็น ยังไม่เป็น

ถ้าพุทโธ พุทโธไป หรือปัญญาอบรมสมาธิไป พุทโธ พุทโธไป พุทโธๆๆ ไปเนี่ย พุทโธนี่คือเปลือก พุทโธคือความคิดเหมือนกัน พุทโธ พุทโธเนี่ยความคิด พุทโธๆๆๆ เนี่ยความคิด ความคิดเห็นไหม พุทโธ พุทโธความคิด ความคิดมันละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป มันย่อยสลายเปลือกส้มได้ เข้าไปถึงเนื้อส้ม พอเข้าถึงเนื้อส้มคือตัวเรา ตัวเราคือตัวจิต

ถ้าใครทำสมาธิจะซึ้งมากเลย อ๋อ เราชื่อนาย ก นะ มันจะเป็นที่ทะเบียนบ้าน แต่พอมาเจอจิตเรา โอ้โฮ จิตตัวนี้เขาเรียกว่า ปฏิสนธิวิญญาณ จิตตัวนี้มันไปปฏิสนธิในไข่ พอเกิดในไข่ พอเกิดจากท้องแม่ก็มาเป็นเรา เวลาถามว่าทุกคนมันเกิดมาจากไหน ก็ตอบว่าคนเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ แต่ทางธรรมะเกิดจากกรรมของตัว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ทำดีมีคุณสมบัติ มีมนุษย์สมบัติ มันถึงจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้ามันทำชั่วของมันก็ไปเกิดตามสถานะของมัน มันไม่เคยตาย จิตไม่เคยตาย แต่เกิดเป็นมนุษย์เนี่ยตาย หมดอายุขัย แต่ตัวจิตไม่มีอายุขัย

เด็กมีความคิดอย่างหนึ่ง คนแก่คนเฒ่ามีความคิดอย่างหนึ่ง ความคิดนี้ไม่เคยแก่ ความคิดของเด็ก ความคิดของคนแก่คือความคิดอันเดียวกัน แต่เป็นเพราะประสบการณ์ชีวิต มันเลยคิดต่างกัน แต่เสร็จแล้ว ความคิดมันทันกันได้ เห็นไหม ตัวจิตไม่เคยตาย ปฏิสนธิจิต

โยม : สร้างให้จิตดีได้ไหมคะ

หลวงพ่อ : จิตดีหรือจิตชั่วอยู่ที่การกระทำ กรรมมันให้ผลไง เราทำดี เราทำดี เราทำดีบ่อยๆ จนเป็นนิสัย ไปเกิดก็ไปเกิดในที่ดี ลูกทำไม ลูกเราบางคนทำไมคิดดี บางคนเป็นคนดี เขาเรียกว่าคุณภาพของจิต วุฒิภาวะ จริตนิสัย โดยธาตุ น้ำมันเบนซิน น้ำมันโซล่า น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ มันต่างกันเห็นไหม พอเราเกิดมาโดยธาตุ ถ้าเราเป็นเบนซิน ความคิดของเราเบนซินน่ะไวไฟ ความคิดของโซล่า งั้นเวลาภาวนาไปมันจะหลากหลายมาก แต่น้ำมันทั้งหมดให้ผลเป็นพลังงาน

จิตทั้งหมด การประพฤติปฏิบัติเริ่มต้น ต้องกลับไปสู่พลังงานคือตัวของจิต คือกลับไปสู่ กรรมฐาน ไปสู่จิตเดิมแท้ ไปสู่สัมมาสมาธิ แล้วพอเป็นสัมมาสมาธิแล้ว เขาเรียกโดยธาตุ โดยธาตุคือคุณสมบัติของน้ำมันอะไร เราจะทำอย่างไรต่อไป การปฏิบัติมีครูบาอาจารย์ ท่านจะคอยชี้แนะไง ก็บอกว่า มันพัฒนาของมัน ด้วยกรรมดีกรรมชั่ว แล้วกรรมดีกรรมชั่ว เหรียญมีสองด้าน ทุกดวงใจที่เกิดมามีดีมีชั่วในตัวมันเอง ไม่มีใครทำดีข้างเดียวหรือทำชั่วข้างเดียว ทุกดวงใจเคยทำดีมา เคยทำชั่วมา ชีวิตเราเลยลุ่มๆ ดอนๆ

โยม : เลยมีคนพยายามจะแก้กรรมเจ้าค่ะ พยายามทำให้จิตดีอย่างเดียวเจ้าค่ะ แก้กรรมกันใหญ่เลยเจ้าคะ

หลวงพ่อ : แก้อย่างไรล่ะ

โยม : เห็นเขานั่งญาณแล้วเขาบอกว่า ให้เอา.. มีหลากหลายวิธีเจ้าค่ะท่าน

หลวงพ่อ : โกหกหมด กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโน กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นแดนเกิดนะ กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย การเกิดเป็นมนุษย์ เราต้องมีอาหาร การเกิดเป็นเทวดา อาหารของเขาคือวิญญาณอาหาร การเกิดของสัตว์เดรัจฉาน การเกิดในนรกอเวจี การเกิดในเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มันต้องมี เกิดเป็นอะไร กินอาหารอะไร ใช้ชีวิตอย่างไร

ฉะนั้นกรรม แก้ได้โดยพระพุทธเจ้า กรรม การกระทำ กรรมก็แบมันออก กรรมก็แบมัน แบมันแบที่จิตนี่ไง กรรมจะแก้ได้ด้วยวิปัสสนาญาณเท่านั้น เพราะเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคา พระอนาคาแล้ว กรรมตามมาไม่ได้ กรรมมันจะตัดได้ด้วยมรรคญาณ กรรมที่แก้อย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่เขาแก้กรรม นั้นโกหกหมด แก้กรรมเหมือนการเข้าทรง เราเป็นเจ้าเข้าทรง โยมมาหาเรา มาทำบุญแล้วอธิษฐานเอา โยมกลับบ้านสบายใจ กรรมหายหรือยัง แล้วไปแก้กรรมก็ไปทำอะไร เหมือนพิธีไปทรงเจ้าไหม

โยม : ทรงเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : เหมือนกันเปี๊ยะเลย พระพุทธเจ้าสอนนะ ให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราชาวพุทธถือมงคลตื่นข่าว ไม่เชื่อในสัจธรรม เราขาดจากพุทธมามกะ แล้วพวกนั้นน่ะ เป็นพระเป็นเจ้า สอนเขาทำอย่างนั้นน่ะ พระพุทธเจ้าสอนหรือเปล่า

โยม : ไม่ได้สอนเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : เขาเองจากขาดจากพระตั้งแต่เขาทำแล้ว แต่พวกเรามันไม่มีวุฒิภาวะ ไม่กล้าไป พูดกับเขาไง

โยม : อ๋อ ใช่เจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : มันเป็นธุรกิจ

โยม : เพราะว่าเขาใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนเรา เขาใส่คล้ายๆ ท่านเจ้าค่ะ เราก็ไม่กล้าพูด

หลวงพ่อ : เราจะบอกเลยนะ ไอ้เรื่องนี้เราพูด แต่เราพูดเราไม่ออกไปยุ่งข้างนอกเพราะอะไร เพราะมันเป็นเรื่องผลประโยชน์นะ แต่เราพูดเนี่ย พอเราพูดเสร็จแล้วไป เขาบอกว่าพระ แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน แต่ความจริงมันไม่ใช่

พระพุทธเจ้าบอกไว้นะ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นเจ้าของศาสนา เวลาพระพุทธเจ้าจะนิพพาน มารมาดลใจไง มารเอยเมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง กล่าวแก้คำจาบจ้วง กล่าวแก้การกระทำผิดๆ เนี่ย เรายังไม่ปรินิพพาน เมื่อใด ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เข้มแข็งสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง ของลัทธิต่างๆ ได้ อีก 3 เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน

เวลาเราพูดตรงเนี้ย เขาบอกว่าเราพูดอย่างนี้ เราพูดถึงการผิดถูก เราพูดโดยชัดเจน อาจารย์พูดได้อย่างไร บอกพระพุทธเจ้าสั่งกูไว้ พระพุทธเจ้าบอก ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา กล่าวแก้คำจาบจ้วง การกระทำผิด การกระทำที่เหลวไหลต่างๆ เราพูดตามธรรมวินัย พระพุทธเจ้าสั่งกูไว้ ให้กูพูด และเราพูด เราพูดตามหลักการ อันนี้คนไปหาผลประโยชน์อย่างนั้นน่ะ อย่างที่โยมพูดน่ะ เขาแต่งตัวเหมือนเรา โยม ไม่กล้าพูด ทำไมพูดไม่ได้

ถ้าพระทำผิด แล้วเราบอกว่าผิดถูกตามหลักการ เราได้บุญนะ เราเป็นคนรักษาศาสนาไว้ แต่นี้พอเราพูดไป เอ้า อย่างเรานี่พระประพฤติตัวไม่ดี เราหาแต่ผลประโยชน์ พอโยมมาพูดกับเราว่าเราทำไม่ถูกน่ะ เราเสียผลประโยชน์น่ะ เราไม่ได้เสียผลประโยชน์คนเดียว เพราะผลประโยชน์จะเกิดขึ้นมา มันต้องมีทีมงาน ไอ้ทีมงานเนี่ยมันจะไปยุ่งกับพวกโยมไง เราก็เลยไม่กล้าไง ไม่กล้าเพราะว่ามันเป็นแก๊งค์อิทธิพล มันเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน มันเป็นอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นปั๊บเราก็ไม่ไปยุ่งกับเขา

เรื่องอย่างนี้มันแบบว่า เพราะพระพุทธศาสนามันมีตั้งแต่สมัยสุโขทัย พอมีในสมัยสุโขทัย มันมีมามันเลยเป็นวัฒนธรรม เข้าไปในเส้นเลือดของพวกเรา ว่าเจอพระเจอเจ้าเราจะเคารพบูชา ถ้าเจอพระเจอเจ้าเราเคารพบูชานะ ถ้าเจอแพะเจออะไรเราก็ไม่เอาอ่ะ เพราะในสังฆกรรมนะ ภิกษุ นานาสังวาส ความเห็นแตกต่างกัน ลงสังฆกรรม สังฆกรรมนั้นเป็นโมฆะ สังฆกรรมนั้นต้องมีภิกษุที่มีทิฏฐิเสมอกัน มีความเห็นเสมอกัน ภิกษุไปปฏิบัติแล้ว สังฆกรรมนั้นมันถึงจะมีผล

ฉะนั้นถ้ามีอย่างนั้นปั๊บ มันค้านกันได้ อันนี้มันก็อยู่ที่หัวหน้า อยู่ที่หัวหน้า เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา ครูบาอาจารย์ท่านฝึกมาอย่างงี้ แล้วครูบาอาจารย์ท่านคอยดูแล หลวงตาท่านจะไป อย่างที่ว่าท่านจะไป ท่านไปดูตรงนี้แหละ เพราะคนเราน่ะอย่างที่พูดน่ะ ดีเดี๋ยวมันก็ชั่ว ชั่วเดี๋ยวมันก็ดี มันกลับกลอกได้ ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติไปแล้วถ้าถึงจุดหนึ่ง ถ้าจิตมันเป็นตามความเป็นจริงน่ะ ความดีความชั่วทั้งหมดเกิดมาจากความคิดมโนกรรม ถ้ามโนกรรมน่ะมันใสสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ความคิดชั่วมันเกิดจากใจดวงนี้ไม่ได้ มันจะทำความชั่วได้อย่างไร ในเมื่อต้นเหตุของความคิด ต้นเหตุน่ะ ต้นเหตุของการกระทำมันยังชั่วอยู่

ครูบาอาจารย์ท่านพยายามประพฤติ พยายามจะสร้าง สร้างกันตรงนี้ไง สร้างเข้าไปถึงฐีติจิตเลย เข้าไปถึงต้นขั้วของความคิดเลย มารเอย เธอเกิดจากการดำริของเรา เราจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดกับใจเราอีกไม่ได้เลย ดำรินะ แต่ปัจจุบันนี้ความคิดนี่ เห็นไหมศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ต่างๆ ความคิดเยอะมากเลย แต่ทำไมมันทำร้ายตัวมันเองล่ะ ถ้าคนมันรักดี คนมันใฝ่ดีนะ ทำไมมันไม่เอาตัวมันรอดล่ะ

โจรเสื้อนอกมันเยอะนะ ความรู้มันมากมหาศาลเลยน่ะ แล้วมันทำร้ายตัวมันเอง ทำร้ายตัวเองด้วยความชั่วไง ทำดีทำชั่วเจ้าตัวรู้ คนทำก่อนคนนั้นรู้ ใครทำความชั่ว คนนั้นต้องรู้ว่าชั่วต้องดี แต่มันใส่หน้ากากอ่ะ ฉะนั้นถ้าคนเราดี คนรักตัวเอง คนที่มันรักตัวเองต้องทำความดีเพื่อเราใช่ไหม เราว่าเรารักเรา แต่เราเอาไฟเผาเราล่ะ เราเป็นคนดีเหรอ

โยม : เราก็ไม่รักตัวเอง..

หลวงพ่อ : นั่น เขาไม่รักเราไง เขาไม่รักตัวเองใช่ไหม นั่นเราเป็นคนดีเหรอ เพียงแต่โลกๆ เป็นอย่างนั้นไง สังคมมนุษย์เป็นสัตว์สังคม สิ่งที่มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น เราดูนะ ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว คือเราไม่ทำอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น เราไม่ทำอย่างนั้น เราอยู่ในวงการพระเรารู้ อย่างที่โยมพูดน่ะ เรารู้เยอะมาก อันนี้เพียงแต่เขาทำกัน เราไม่ทำกับเขา เราไม่เอากับเขา แล้วไม่เอากับเขาแล้ว เราพยายาม ประสาเราเนี่ย เรามีจุดยืนของเราแล้ว ไม่ใช่ว่าเราไม่ทำแล้ว เราจะอยู่แค่นี้ไง เราไม่ทำแล้ว เราจะต้องสร้างคนไง เราต้องสร้างพระขึ้นมา สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ถ้าผู้นำไม่ดีเนี่ย มันสร้างไม่ได้

แม่ปูอ่ะ ลูกเดินตรงๆ สิ ก็แม่มันเดินคดนี่ ลูกเดินตรงๆ สิ แม่ปูมันต้องเดินให้ตรงก่อน แล้วมันจะเอาลูกมันเดินไป ถ้าแม่ปูยังเดินไม่ได้ มันจะเอาลูกมันเดินไปได้อย่างไร ฉะนั้นอย่างที่ว่าแก้กรรม แก้กรรมน่ะ เป็นไปไม่ได้

โยม : ได้อย่างเดียวคือการวิปัสสนา

หลวงพ่อ : ใช่ มันเป็นไปไม่ได้ แต่นี้อย่างครูบาอาจารย์ของเรา มันมีบางองค์นะ คำว่าแก้กรรมของท่าน ท่านทำให้หนักเป็นเบา ถ้าท่านมีเล็งญาณ ท่านเล็งญาณของท่าน ท่านแก้ของท่าน มีบางองค์ทำได้ๆ ทำได้แล้วก็ทำของเขา ถ้าการแก้กรรมอย่างนี้ เขาแก้กรรมเพื่อเสริมบารมี พวกพระโพธิสัตว์ที่มารื้อสัตว์ขนสัตว์ เขาทำของเขาแล้ว พวกนี้จะไม่มีผลประโยชน์ ส่วนใหญ่พวกนี้จะไม่มีผลประโยชน์เลย

ถ้าคนทำเพื่อเป็นบุญกุศลนะ แต่ถ้าเป็นทุจริตเนี่ยนะ มันเป็นการสร้างภาพ เป็นไปไม่ได้หรอก ฉะนั้นการแก้กรรมหรือไม่แก้กรรม ถ้าเป็นเราเนี่ยเราไม่ต้องทำตรงนั้นเลย เราเอาตัวเรา ถามตัวเองว่ามีความสุขไหม เราหาความสุขของเรา เราจะพยายามหาความสุขของเรา แล้วความสุขนะ โยมหาไม่เจอหรอก หาไม่เจอ

แต่ถ้าโยมกลับไปบ้านนะ แล้วปิดประตูให้หมดนะ แล้วนั่งเฉยๆ นี่ เดี๋ยวความสุขเกิดมันขึ้นมาจากหัวใจของเรา ความสุขหาได้จากกลางหัวอกเรานี้ ความสุขไปหาที่อื่น ไม่เจอ ไม่เจอ ไม่เจอ ถ้าจิตสงบขึ้นมานะ ค่าของเงินไม่มีความหมายเลย ความสุขจะหาได้ต่อเมื่อในความรู้สึกเรา การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือ พักผ่อนนอนหลับที่บ้าน คือพักผ่อนดีที่สุด ความสุขจะหาได้ท่ามกลางทรวงอกเรา ของที่อื่นไม่มี พุทโธ พุทโธ พุทโธ เนี่ย ปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย ทำตรงนี้เข้ามา เงินทองซื้อไม่ได้

มรรคผลนิพพานซื้อได้นะ เศรษฐีโลกมันซื้อไปหมดแล้ว ความดีเงินซื้อไม่ได้ ต้องทำเองหมด ทุกอย่างต้องทำเองหมด แล้วถ้าทำเองอ่ะ ย้อนกลับมาที่นี่ เราทำเองหมดของเรา ถ้าทำได้นะ แล้วทำได้ ทำได้หมด มันอยู่ที่ความเข้มแข็งไง เพราะการนั่งสมาธิเอาชนะตนเองเนี่ย นั่งเฉยๆ เวลาเราทำงานเราบ่นกันว่าทุกข์ว่ายาก แล้วนั่งเฉยๆ ทำไมมันทำไม่ได้ เวลาทำงานก็บ่นว่าเหนื่อย นั่งเฉยๆ มันก็ไม่ยอมทำ

โยม : หลายคนหลับ เจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : ตั้งสติไว้

โยม : บางทีต้องเผชิญกับปัญหาข้างนอกทำงานเจ้าค่ะ พวกเราต้องใช้เงินน่ะเจ้าค่ะ ก็ต้องไปทำงานข้างนอก ก็ไปเจอเรื่องราวมากมาย ก็เลย..

หลวงพ่อ : อันนี้มันเป็นทางเลือกนะ เพราะสิทธิทุกคนมีสิทธิเลือกหมด สิทธิเลือกไง อย่างเช่นเรานะ อย่างพวกที่มาบวช ถ้าทางโลกบอกคนที่มาบวชนี่คือคนจนตรอก คือคนที่ไม่มีทางไป แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่นะ บวชอยู่กับเราเนี่ย มีแต่ผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย เออร์ลี่ออกมาบวชเลย ทั้งนั้นเลยนะ เขาแบบว่าเขาได้ของเขา เขามีของเขาพร้อมทุกอย่างแล้ว แต่เขาหาความสุขไม่เจอ เขาสละเลย แล้วมาบวชอยู่เนี่ย ผู้บริหารทั้งนั้นนะ แล้วค้นหาของเขา เขาจะหาความสุขของเขา แล้วมาแล้วทุกข์ไหม ทุกข์ เพราะในการลงทุน การกระทำมันต้องลงทุนลงแรงทั้งนั้น เราบังคับตัวเราเองน่ะ ทุกข์ไหม